วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ผู้จัดทำ


คณะผู้จัดทำ



1.  เด็กชายจักรี  โพธิ  เลขที่2  ม.2/5



2.  เด็กชายพีรวิชญ์  จงกลรัตน์  เลขที่11  ม.2/5



3.  เด็กหญิงกรกนก  วิเชียรเทียบ  เลขที่17  ม.2/5




4.  เด็กหญิงคีตาภัทร  สิงห์จันทึก  เลขที่19  ม.2/5




5.  เด็กหญิงภาสิณี  หอมหวล  เลขที่30  ม.2/5






ประโยชน์ศาสตร์พระราชา เรื่องแก้มลิง


กลุ่มของข้าพระเจ้าได้ศึกษาในศาสต์พระราชาในเรื่อง โครงการแก้มลิง ได้รับประโยชน์ดังนี้
  

1
2
3


ความรู้สึกของสมาชิกในกลุ่มหลังจากได้ศึกษา ศาสตร์พระราชา โครงการแก้มลิง มีดังนี้
สมาชิกคนที่ 1 ด.ชจักรี โพธิ มีความเห็นว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในราชวงศ์จักรี หรือพระเจ้าอยู่หัวของเรา  พระองค์ได้ทรงทำคุณประโยชน์แก่ ประเทศชาติ บ้านเมืองมากมาย เป็นที่น่าดีใจของคนไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่เต็มไปด้วยความสามารถมากมาย
และสามารถนำไปใช้ในชีวิติประจำวันได้ ดังนี้ เราสามารถนำทฤษฎีของพระองค์ มาปรับใช้ในชีวิติได้

สามาชิกคนที่ 2 ด.ชพีรวิชญ์ จงกลรัตน์มีความเห็นว่า ในหลวงของเรา ท่านทรงสร้างหลักการใช้ชีวิตให้แก่คนไทยเพื่อให้อยู่ด้วยเราเอง ที่เราสามารถเห็นได้ชัด คือปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางให้คนทุกระดับ ทั้งระดับพื้นหญ้า ไปถึงระดับมหาเศรษฐี ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ และโครงการที่ท่านคิดไม่เคยที่ท่านจะมองระสั้น  
และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้  เราสามารถนำทฤษฎีแก้มลิงมาใช้กับเกษตรกรได้จริง

สมาชิกคนที่ 3 ด. ญกรกนก วิเชียรเทียบมีความเห็นว่า แก้มลิงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายๆด้าน ช่วยให้สามารถทำให้เรามีน้ำพอกินพอใช้ได้ตลอด
และสามารถนำไปใช้ในประจำวันได้ ดังนี้   เราสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้ทั้งฤดู

สามาชิกคนที่ 4 ด.ญคีตภัทร สิงห์จันทึกมีความเห็นว่า หลังจากได้ศึกษาเรื่องโครงการพระราชดำริ แก้มลิง แสดงให้เห็นว่ามีประโยชน์ในหลายๆด้าน สามารถนำมาใช้ได้กับทุกคน
และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้ ช่วยระบายน้ำท่วมขังในที่ลุ่มทิ้งลงทะเล ช่วยลดระยะเวลาน้ำท่วมขังให้สิ้นลง ลดปัญหาความตึงเครียดทางด้านจิตใจของราษฎรในพื้นที่น้ำท่วม

สามาชิกคนที่ 5 ด,ญภาสิณี หอมหวลมีความเห็นว่า จากการศึกษาโครงการแก้มลิงมา เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดำริถึงลิงที่อมกล้วยไว้ในกระพุ้งแก้มได้คราวละมากๆ จึงมีพระราชกระแสอธิบายว่า "ลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงจะรีบปอกเปลือก เอาเข้าปากเคี้ยว แล้วนำไปเก็บไว้ที่แก้มก่อน ลิงจะทำอย่างนี้จนกล้วยหมดหวีหรือเต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นจะค่อยๆ นำออกมาเคี้ยวและกลืนกินภายหลัง" ด้วยแนวพระราชดำรินี้ จึงเกิดเป็น "โครงการแก้มลิง" ขึ้น เพื่อสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำ ไว้รอการระบายเพื่อใช้ประโยชน์ในภาย
หลัง
และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้ ลดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วม ลดค่าใช้จ่ายในการบูรณะซ่อมแซมสาธารณูปโภคต่างๆ การชัดน้ำจืดจากแม่น้ำท่าจีนเพื่อนำมาช่วยไล่น้ำเสีย  ช่วยให้มีการชัดน้ำจืดจากแม่น้ำท่าจีนเพื่อนำมาช่วยไล่น้ำเสีย



               

วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ความเป็นมาของโครงการ แก้มลิง



ความเป็นมาของโครงการ แก้มลิง

           โครงการแก้มลิง เป็นแนวคิดในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อแก้ปัญหอุทกภัย
โดยพระองค์ทรงตระหนักถึงความรุนแรงของอุทกภัยที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ.2538  จึงมี พระราชดำริ "โครงการแก้มลิง" ขึ้น เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๘ โดยให้จัดหาสถานที่เก็บกักน้ำตามจุดต่างๆในกรุงเทพมหานครเพื่อรองรับน้ำฝนไว้ชั่วคราว  เมื่อถึงเวลาที่คลองพอจะระบายน้ำได้จึง
ค่อยระบายน้ำจากส่วนที่กักเก็บไว้ออกไปจึงสามารถลดปัญหาน้ำท่วมได้ 

        ทั้งนี้ นอกจากโครงการแก้มลิงจะมีขึ้นเพื่อช่วยระบายน้ำ ลดความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ กรุงเทพมหานครและบริเวณใกล้เคียงแล้ว ยังเป็นการช่วยอนุรักษ์น้ำและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยน้ำที่ถูกกัก เก็บไว้ เมื่อถูกระบายสู่คูคลอง จะไปบำบัดน้ำเน่าเสียให้เจือจางลง และในที่สุดน้ำเหล่านี้จะผักดัน
น้ำเสียออกไปได้




แนวคิดของโครงการ แก้มลิง



แนวคิดของโครงการแก้มลิง 

        แนวคิดของโครงการแก้มลิง เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริถึงลิงที่อมกล้วยไว้ในกระพุ้งแก้มได้คราวละมากๆ จึงมีพระราชกระแสอธิบายว่า "ลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้
ลิงจะรีบ ปอกเปลือก เอาเข้าปากเคี้ยว แล้วนำไปเก็บไว้ที่แก้มก่อน ลิงจะทำอย่างนี้จนกล้วยหมดหวีหรือเต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นจะค่อยๆ นำออกมาเคี้ยวและกลืนกินภายหลัง" ด้วยแนวพระราชดำรินี้ จึงเกิดเป็น "โครงการแก้มลิง" ขึ้นเพื่อสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำ ไว้รอการระบายเพื่อใช้ประโยชน์ในภายหลัง



วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ลักษณะและวิธีการของโครงการแก้มลิง



ลักษณะและวิธีการของโครงการแก้มลิง 

               ลักษณะของโครงการแก้มลิงจะดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบน เพื่อให้น้ าไหลลงคลองพัก น้ำที่ชายทะเล จากนั้นเมื่อระดับน้ าทะเลลดลงจนต่ำกว่าน้ำในคลอง น้ำในคลองจะไหลลงสู่ทะเลตามธรรมชาติ ต่อจากนั้นจะเริ่มสูบน้ำออกจากคลองที่ทำหน้าที่แก้มลิง เพื่อทำให้น้ำตอนบนค่อยๆ ไหลมาเอง จึงทำให้เกิดน้ า ท่วมพื้นที่ลดน้อยลง จนในที่สุดเมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับในคลอง
จึงปิดประตูระบายน้ำ โดยให้น้ำไหลลง ทางเดียว (One Way Flow) ประเภทของโครงการแก้มลิง

โครงการแก้มลิงมี ๓ ขนาด คือ



โครงการแก้มลิงมี ๓ ขนาด คือ 

        ๑. แก้มลิงขนาดใหญ่ ( Retarding Basin) คือ สระน้ำหรือบึงขนาดใหญ่ ที่รวบรวมน้ำฝนจากพื้นที่ บริเวณนั้นๆ โดยจะกักเก็บไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะระบายลงสู่ลำน้ำ พื้นที่เก็บกักน้ำเหล่านี้ได้แก่ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ ฝาย ทุ่งเกษตรกรรม เป็นต้น ลักษณะสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะมีวัตถุประสงค์อื่นประกอบด้วย เช่น เพื่อ การชลประทาน เพื่อการประมง เป็นต้น 

        ๒. แก้มลิงขนาดกลาง เป็นพื้นที่ชะลอน้ำที่มีขนาดเล็กกว่า ก่อสร้างในระดับลุ่มน้ำ มักเป็นพื้นที่ ธรรมชาติ เช่น หนอง บึง คลอง เป็นต้น

          ๓. แก้มลิงขนาดเล็ก (Regulating Reservoir) คือแก้มลิงที่มีขนาดเล็กกว่า อาจเป็นพื้นที่สาธารณะ สนามเด็กเล่น ลานจอดรถ หรือสนามในบ้าน ซึ่งต่อเข้ากับระบบระบายน้ำหรือคลอง ทั้งนี้แก้มลิงที่อยู่ในพื้นที่เอกชน เรียกว่า "แก้มลิงเอกชน" ส่วนที่อยู่ในพื้นที่ของราชการและรัฐวิสาหกิจ จะเรียกว่า "แก้มลิงสาธารณะ" 


วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การจัดหาและออกแบบโครงการแก้มลิง



การจัดหาและออกแบบโครงการแก้มลิง  

         การพิจารณาจัดหาพื้นที่กักเก็บน้ำนั้น ต้องทราบปริมาตรน้ำผิวดินและอัตราการไหลผิวดินที่มากที่สุดที่ จะยอมปล่อยให้ออกได้ในช่วงเวลาฝนตก โดยสิ่งสำคัญคือต้องจัดหาพื้นที่กักเก็บให้พอเพียง เพื่อจะได้ไม่เป็น ปัญหาในการระบายน้ำ ปัจจุบันมีแก้มลิงทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร กว่า 20 จุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางฝั่งธนบุรี เนื่องจากมีคลองจำนวนมาก และระบายน้ำออกทางแม่น้ำเจ้าพระยา 

          ทั้งนี้โครงการแก้มลิงแบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ โครงการระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะใช้คลองที่ตั้งอยู่ชายทะเลด้านจังหวัดสมุทรปราการ ทำหน้าที่เป็นทางเดินของน้ำตั้งแต่จังหวัด สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร